แผนที่สู่การเยียวยาใจ Part 1
ในบทความที่แล้ว เมื่อความเครียดผลักเราให้ “ไม่เป็นตัวเอง” — เข้าใจสภาวะ Grip เพื่อการดูแลใจให้กลับมาแข็งแรง เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมภายใต้ความเครียดในระดับต่างๆ โดยเฉพาะในสภาวะ Grip ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกระบวนการคิดหลัก (Cognitive Functions) หรือฟังก์ชันเด่น (Dominant Function) ของคนแต่ละไทป์ การเข้าใจการทำงานของฟังก์ชันเหล่านี้สามารถช่วยให้เรารู้เท่าทันพฤติกรรมที่แปลกไปของตัวเองในสภาวะที่เราเกิดความเครียดสะสมและรับรู้ได้ถึง “สัญญาณเตือน” ที่จิตของเรากำลังเรียกร้องให้กลับมาดูแลตัวเอง
สำหรับบทความนี้ เราจะพาไปเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟูพลังใจเมื่อเกิดความเครียด โดยยังใช้ฟังก์ชันเด่นเป็น “แผนที่” ในการช่วยนำทางเรากลับสู่สมดุลหรือสภาวะปกติ และจะพาไปทำความเข้าใจกับแง่งามของการก้าวผ่านสภาวะ Grip ที่ส่งผลให้แต่ละคนเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะมากขึ้น ใช้ชีวิตได้สมดุลขึ้น และมีจิตใจที่แข็งแรงกว่าเดิม
ทำไมต้องใช้ฟังก์ชันเด่นเป็นแผนที่ในการเยียวยาใจ
การเข้าใจการทำงานของฟังก์ชันเด่นในตัวเอง
· ช่วยให้เรารับรู้ได้ถึงคำบอกใบ้ว่าเรามีแนวโน้มที่จะทำสิ่งใดมากเกินไปหรือละเลยสิ่งใดโดยธรรมชาติ
– ฟังก์ชันเด่นคือกระบวนการคิดที่เราพึ่งพามาตลอดตั้งแต่เด็ก เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นตัวเองมากที่สุด ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและมั่นคงกับเรา แต่หากใช้มันมากเกินไป เราอาจกลายเป็นคนด้านเดียว และทำให้เราละเลยด้านตรงข้ามโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะฟังก์ชันด้อย (Inferior Function) กระบวนการคิดที่เราไม่ถนัดใช้มากที่สุด การละเลยทำให้เรามองข้ามประโยชน์ของคุณลักษณะนั้นๆ และนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างไม่สมดุล
· ช่วยให้เราเข้าใจว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในสภาวะไหน เกิดอะไรขึ้นกับเรา และควรต้องดูแลตัวเองอย่างไร
– พฤติกรรมภายใต้ความเครียดมีความสอดคล้องกับการทำงานของฟังก์ชันเด่นในตัวเอง การเข้าใจกลไกของมันจะช่วยให้เรารับรู้ได้ถึงระดับความเครียดที่เรากำลังเผชิญอยู่ เท่าทันพฤติกรรมที่ผิดแผกไปจากปกติ ลดการโทษตัวเอง และมีแนวทางในการดูแลตัวเองในแบบที่สอดคล้องไปกับธรรมชาติความเป็นเรา ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นฟูจิตใจเป็นไปได้รวดเร็วขึ้นและยั่งยืนขึ้น
· เป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าเรากลับมาสู่สภาวะสมดุลเป็นปกติแล้วหรือไม่
– คนบางคนอยู่ในสภาวะเครียดสะสมเป็นเวลานานจนทั้งตัวเองและคนรอบข้างคิดว่านี่คือพฤติกรรมปกติของตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพและมักบั่นทอนสุขภาพจิตในระยะยาว หากเราเข้าใจว่าโดยธรรมชาติแล้ว เวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง (การใช้ฟังก์ชันเด่นอย่างสมดุล) มีหน้าตาเป็นอย่างไร เราสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเป้าหมายปลายทางในการดูแลตนเองจนกว่าจะกลับมาสู่สมดุลได้ ซึ่งในท้ายที่สุดจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพในแบบของเราเอง
ทำไมต้องเยียวยาใจผ่านการเข้าใจธรรมชาติของตัวเองและการทำงานของฟังก์ชันเด่น
แน่นอนว่าการเยียวยาใจโดยปกติแล้วช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น เบาสบาย และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ แต่การเยียวยาใจด้วย “ความเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง” เป็นการพัฒนาตนเองที่ลึกซึ้งถึงระดับแก่น เป็นจุดเริ่มต้นของการ “เปิดพื้นที่ให้กับส่วนที่เคยถูกละเลย” โดยเฉพาะด้านที่เรามักจะมองว่า “ไม่ใช่เรา” และเป็นด้านที่แย่ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวตนที่ยังไม่ได้รับการยอมรับและเห็นความสำคัญ
การเยียวยาใจในลักษณะนี้เปิดโอกาสให้เรามองโลกต่างไปจากเดิม เราจะคิดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น มองเห็นทางเลือกมากขึ้น และตัดสินใจด้วยวุฒิภาวะที่สูงขึ้น โดยไม่ถูกจำกัดอยู่แค่กรอบความคิดที่เคยมี ซึ่งมักทำให้เราวนติดอยู่ในความผิดพลาดเดิมๆ นอกจากนี้ มันยังช่วยให้เรา “อยู่กับตัวเองได้” มากขึ้น โดยไม่ต้องฝืนเป็นคนอื่นหรือพยายามพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ รวมทั้งไม่ต้องคอยปิดบังด้านที่เปราะบางในตัวเอง ส่งผลให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกและคนรอบตัวในแบบที่เป็นบวกขึ้น เพราะการที่เรายอมรับตัวเองได้มากขึ้นส่งผลต่อความพร้อมในการรับมือกัความหลากหลายของโลกด้วยใจที่เป็นสุข ซึ่งทำให้เราพร้อมส่งมอบสิ่งที่ดีต่อใจให้กับคนรอบข้างด้วยความปรารถนาดีไปโดยปริยาย
แผนที่สู่การเยียวยาใจสำหรับ Extraverted Thinking (Te)
ฟังก์ชันเด่นของคนประเภท ESTJ และ ENTJ
พฤติกรรมจากความเครียดสะสม:
- แสดงความโกรธออกมาบ่อยๆ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้
- ไม่ยืดหยุ่น ไม่เต็มใจพิจารณามุมมองอื่นๆ เจ้ากี้เจ้าการ ชอบบงการคนอื่น
- เมื่อเห็นว่าคนอื่นไม่เข้าใจ/ เห็นความตั้งใจ ก็จะรู้สึกแปลกแยก ไม่อยากคุยกับใคร ถอนตัว
- คิดไปเองอย่างมั่นใจว่าคนอื่นๆ ไม่ชอบเรา
วิธีการเยียวยาใจให้กลับมาเป็นปกติ
คนที่ใช้ Te เป็นฟังก์ชันเด่น เมื่อเกิดความเครียดสะสมจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นหากมีพื้นที่ให้ได้ทบทวนและรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง แสดงมันออกมา และทำความเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น
- หาเวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งหลักใหม่
- เลือกพูดคุยหรือระบายความรู้สึกกับคนที่ไว้ใจได้ อ่อนโยน เข้าใจ และไม่ตัดสิน
– รับรู้และทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเอง
– แลกเปลี่ยนมุมมองในการมองปัญหา และปรับเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่ไปที่การแก้ปัญหา
– การมีคน “ให้กำลังใจอยู่เงียบๆ” จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น - หาแนวทางเผชิญหน้ากับปัญหาโดยมีคนคอยสนับสนุน ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ
- ทำกิจกรรมที่จะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมทางกาย เช่น การเล่นและดูกีฬา การออกกำลังกาย
สิ่งที่จะได้รับหากเยียวยาใจจากความเครียดสะสมได้สำเร็จ
คนประเภท ESTJ และ ENTJ มักจัดการกับอารมณ์ที่ “ไม่พึงประสงค์” ได้เร็ว โดยใช้กลไกการหลีกเลี่ยง (เช่น เปลี่ยนโฟกัส) และ ควบคุม (เช่น เลือกรับรู้เฉพาะเหตุและผล ละเลยความรู้สึก และรีบจัดการปัญหาให้จบๆ ไป)
แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงและพยายามควบคุมเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน และมักแสดงออกมาในรูปแบบของการสัมผัสได้ลึกๆ ถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่น ความเปราะบางในตัวเอง และความต้องการความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมาย จนในท้ายที่สุดก่อตัวและปะทุออกมาเป็น พฤติกรรมจากความเครียดสะสม
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “ช่วงแย่ๆ ของชีวิต” อย่างที่หลายคนเข้าใจและไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะมันมีแง่งามในตัวมันเอง หากผ่านมันมาได้ด้วยการเยียวยาและความเข้าใจ สำหรับ ESTJ และ ENTJ พวกเขามักจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
- ขีดจำกัดของตัวเอง: เราไม่ได้แก้ไขและควบคุมได้ทุกอย่าง และทุกอย่างไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและควบคุม
- การยอมรับในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล: เราไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างด้วยเหตุผลและความชัดเจน
- การเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ใกล้ชิด: เมื่อเราล้มหรือรู้สึกแย่ “คนที่เข้าใจเรา” มีความหมายมากกว่างานหรือผลลัพธ์
แผนที่สู่การเยียวยาใจสำหรับ Extraverted Feeling (Fe)
ฟังก์ชันเด่นของคนประเภท ESFJ และ ENFJ
พฤติกรรมจากความเครียดสะสม:
- มองโลกในแง่ลบ มองปัญหาใหญ่เกินจริง ตัดสินตัวเองและคนอื่นรุนแรง
- จุกจิกจู้จี้ ชอบบงการ ไม่เปิดรับมุมมองใหม่ โทษคนอื่น
- ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น เย็นชา หงุดหงิดง่าย พูดน้อย ดูซึมเศร้า
- รู้สึกไร้ค่า ไม่มั่นใจในตัวเอง โฟกัสไม่ได้ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
วิธีการเยียวยาใจให้กลับมาเป็นปกติ
คนที่ใช้ Fe เป็นฟังก์ชันเด่น เมื่อเกิดความเครียดสะสมจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นหากได้กลับมาดูแลความรู้สึกของตัวเอง มีพื้นที่ส่วนตัว และไม่ต้องคอยดูแลความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น
- วางเรื่องของคนอื่นเอาไว้ก่อน แล้วหันมาดูแลตัวเอง
– ให้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและกลับมาเชื่อมโยงกับความรู้สึกของตัวเอง
– ลองใช้การเขียนบันทึก การอ่านหนังสือ หรือศึกษาหาวิธีเยียวยาตัวเองเพิ่มเติม
– ใช้สิ่งที่เราให้ค่า เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจหรือหล่อเลี้ยงใจ หรือ ความหมายที่เราให้กับชีวิตเป็นตัวช่วยตั้งหลัก
– ให้เวลาตัวเองพักฟื้นใจเต็มที่โดยไม่เร่งรัดตัวเองให้รีบดีขึ้น - เลือกพูดคุยหรือระบายความรู้สึกกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยตรง เช่น โค้ช นักบำบัด หรือเพื่อนที่เป็นผู้ฟังที่ดี อ่อนโยน ไม่ตัดสิน หรือลองเข้าร่วมกลุ่ม Support หรือ Community ที่พร้อมให้กำลังใจ
- ลองทำกิจกรรมหรือโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่มีความหมายกับตัวเอง เพื่อเปลี่ยนความกดดันจากความเครียดให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ
สิ่งที่จะได้รับหากเยียวยาใจจากความเครียดสะสมได้สำเร็จ
คนประเภท ESFJ และ ENFJ มักรับมือกับความขัดแย้งด้วยการกดเก็บความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองเพื่อรักษาความกลมกลืน หรือ
มอบบทบาท “ผู้ให้” ให้กับตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายังเป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่ต้องการ และมีค่า แต่ความไม่พอใจ น้อยใจ โดดเดี่ยวจากการไม่ได้รับความเข้าใจ (เพราะเลือกให้ความเข้าใจคนอื่นก่อน) และความเหนื่อยล้าจากการไล่ตามความต้องการของคนอื่น (เพราะอาจกังวลเรื่องภาพลักษณ์หรือกลัวถูกปฏิเสธ) รวมทั้งความเห็นต่างและความต้องการที่ไม่ได้พูดออกไป คือสิ่งที่ก่อตัวอยู่ลึกๆ และรอเวลาปะทุออกมาเป็น พฤติกรรมจากความเครียดสะสม
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “ช่วงแย่ๆ ของชีวิต” อย่างที่หลายคนเข้าใจและไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะมันมีแง่งามในตัวมันเอง หากผ่านมันมาได้ด้วยการเยียวยาและความเข้าใจ สำหรับ ESFJ และ ENFJ พวกเขามักจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
- การอยู่กับความไม่เข้าใจหรือความขัดแย้ง: เราไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ทุกคนสบายใจและเห็นพ้องกันตลอดเวลา
- การเชื่อมั่นในความคิดและการตัดสินใจของตัวเอง: เราเป็นตัวเองโดยที่เห็นต่างได้ เหตุผลของเราไม่จำเป็นต้องรอให้มีคนมายืนยันว่าดีและถูกต้อง
- การดูแลเรื่องความอ่อนไหวในตัวเอง: เราสามารถรักษาใจให้นิ่งในสถานการณ์ที่รับมือยากได้ และไม่ควรเอาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นมาใส่ใจมากจนเกินไป
- การให้ความสำคัญกับตัวเอง: เรามีค่าไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น ควรต้องใส่ใจตัวเองและใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง