เมื่อความเครียดผลักเราให้ “ไม่เป็นตัวเอง” เข้าใจสภาวะ Grip เพื่อการดูแลใจให้กลับมาแข็งแรง (Part 1)

คุณเคยรู้สึกเหมือน “ไม่เป็นตัวเอง” คิดอะไรแปลก ๆ พูดแรงกว่าปกติ หงุดหงิดง่าย ฟุ้งซ่าน หรืออ่อนไหวอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วคุณไม่เป็นแบบนั้นเลย จนหลายครั้ง มันทำให้คุณรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เสียใจ หรืออับอายหลังจากแสดงพฤติกรรมแปลกๆ เหล่านั้นออกไป และเกิดความสงสัย ว่าเรากลายเป็นคนที่เรามักเกลียดหรือไม่ชอบไปได้อย่างไร

ช่วงเวลาแบบนี้อาจไม่ได้แปลว่าคุณได้เปลี่ยนไปเป็นคนน่ารังเกียจคนนั้น หรือว่ากำลัง “เสียศูนย์” แต่จริง ๆ แล้ว คุณอาจกำลังตกอยู่ในสภาวะ “Grip” ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ “ด้านที่ซ่อนอยู่” ของตัวเราเองภายใต้ความเครียดระดับต่างๆ ที่มักปรากฏขึ้นในเวลาที่เราอ่อนแอ หรือหมดพลังจากการใช้ฟังก์ชันที่เราถนัดโดยปกติ

สภาวะ “Grip” คืออะไร สัมพันธ์กับความเครียดอย่างไร

สภาวะ Grip คือช่วงที่เราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ฟังก์ชันด้อย” ซึ่งเป็นฟังก์ชันทางกระบวนการคิด (Cognitive Function) ที่ปกติเราไม่ค่อยได้ใช้ และไม่ถนัดใช้ มันมักจะเกิดขึ้นเมื่อคนเราเผชิญกับความเครียด ความเหนื่อยล้าสะสม หรือการโดนกดดันอย่างต่อเนื่อง จนฟังก์ชันหลักที่เราใช้ประจำ “หมดแรง” และไม่สามารถช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำให้เหมือนมี ‘อีกด้านหนึ่งของตัวเอง’ ที่เราไม่รู้จักโผล่ออกมา — เป็นด้านที่ปกติไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น มักเป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับนิสัยโดยปกติของตัวเอง และมักจะสุดโต่งหรือไม่ค่อยสมเหตุสมผล

การรู้เรื่อง “Grip” ช่วยเรื่อง Wellbeing ของเราได้อย่างไรบ้าง

การรู้จัก Grip คือการรู้จัก “จุดเปราะบาง” ของเรา ซึ่งเป็นการช่วยให้เราทำความเข้าใจ ดูแล และให้อภัยตัวเองในวันที่เราไม่สมบูรณ์ได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องวิ่งหนีหรือโทษตัวเอง หรือ ฝืนทำบางอย่างลงไป สภาวะ Grip นี้มักไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันควัน แต่ค่อย ๆ พัฒนาตัวมาจากการที่เราเครียดสะสม หากเราเข้าใจและรู้เท่าทันสภาวะนี้ของตัวเอง มันสามารถช่วยให้เรารู้ตัวว่าควรต้องหยุดพักเมื่อใด หรือปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างในชีวิตเมื่อไหร่ ก่อนที่ทุกอย่างจะหลุดไปถึงจุดวิกฤต Grip เป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ให้เรารู้เท่าทันตัวเอง จะได้ไม่หลงจมหรือคิดวนไปกับอารมณ์ที่ไม่ใช่เรา และหันมาเลือกวิธีฟื้นฟูใจที่ตรงเหมาะสมกับธรรมชาติของตัวเองได้เร็วขึ้นและดีขึ้น

ความเครียดแบ่งออกเป็นกี่ระดับ

เราสามารถแบ่งความเครียดออกเป็น 3 ระดับง่ายๆ ดังนี้

1. เครียดเล็กน้อย → เรายังเป็นตัวเองอยู่ ยังสามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เราถนัดโดยปกติได้

2. เครียดระดับกลาง → เราเริ่มใช้ฟังก์ชันเด่นที่เราถนัดที่สุดมากเกินไปจนมีพฤติกรรมคล้ายคนด้านเดียว เช่น จู้จี้มากเกินกว่าเหตุ หรือ ควบคุมคนอื่นมากผิดปกติ ซึ่งมักส่งผลให้คนรอบตัวรู้สึกอึดอัดและมักทำให้บรรยากาศตึงเครียด

3. เครียดต่อเนื่อง → ผลักเราเข้าสู่สภาวะ Grip ซึ่งเป็นช่วงที่เราถูกครอบงำด้วยฟังก์ชันที่เราไม่ถนัดใช้ที่สุด ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ค่อยมีสติ และมักมีพฤติกรรมผิดแผกออกไปจากที่เคยเป็น

พฤติกรรมของคนประเภท Extravert เมื่อตกอยู่ในภาวะความเครียดระดับต่างๆ

ESTJ/ ENTJ (Extraverted Thinking)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย

  • ใช้เหตุผล การคิดเป็นระบบและชัดเจน การตัดสินใจอย่างเด็ดขาด การบริหารจัดการ และการเป็นผู้นำ
  • คำนึงถึงเป้าหมาย ความสามารถ ความมีประสิทธิภาพ การรักษามาตรฐาน และความถูกต้อง

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Te ออกมาแบบเกินจริง)

  • เน้นความชัดเจนสุดโต่ง ตัดสินใจเด็ดขาดโดยไม่มีข้อมูลรองรับ หงุดหงิดเมื่อควบคุมสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ตามต้องการ
  • ไม่สามารถคิดอย่างมีตรรกะและมีประสิทธิภาพได้ตามปกติ
  • กลายเป็นคนชอบ บงการและเรียกร้องมากขึ้น ไม่ฟังใคร ออกคำสั่งมากกว่าเดิม พูดแรง
  • มักเร่งให้คนอื่น “ทำให้เสร็จ” โดยไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร
  • บางคนอาจทำงานมากเกินไปเพื่อกดเก็บอารมณ์

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Te หมด Fi ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. ไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและคนอื่นมากเกินจริง
– ตีความคำพูดธรรมดาๆ ของคนอื่นผิดไป เช่น คิดว่ากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทา
– รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ คิดมาก และ อินกับการรู้สึกว่าคนอื่นไม่เห็นค่าเรามากเกินไป
– รู้สึกกลัวว่าจะถูกกีดกันออกจากบทบาทสำคัญ

2. ระเบิดอารมณ์ออกมา
– มีอารมณ์รุนแรงแบบไม่มีเหตุผล (ร้องไห้ โกรธ หดหู่) ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
– ระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่น รู้สึกสับสนในตัวเอง
– มักมีอาการป่วยทางร่างกายร่วมด้วย เช่น ปวดหัว ปวดไหล่

3. กลัวความรู้สึกมากเกินไป
– กลัวการสูญเสียภาพลักษณ์ของการเป็นคนมั่นคง ควบคุมทุกอย่างได้
– กลัวอารมณ์ที่สัมผัสได้ลึกๆ ข้างในตัวเอง
– ซ่อนความรู้สึกเพราะกลัวดูอ่อนแอ พยายามทำให้ตัวเองดูแข็งแกร่งแต่ข้างในเปราะบางมาก
– ต้องการอยู่คนเดียว หรือ ตัดขาดจากโลกภายนอก

ESFJ/ ENFJ (Extraverted Feeling)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย

  • แสดงความห่วงใย เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น มองโลกในแง่ดี พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีและกลมเกลียวกัน
  • คำนึงถึงความสัมพันธ์ ความสามัคคี และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Fe ออกมาแบบเกินจริง)

  • พยายามควบคุมบรรยากาศให้ออกมาโอเค ราบรื่น มองข้ามความขัดแย้ง
  • ฝืนตัวเองเพื่อรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันของกลุ่มจนละเลยความต้องการของตนเอง
  • ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการ “ทำให้ทุกคนรู้สึกดี” จนหมดแรงโดยไม่รู้ตัว แม้ในสถานการณ์ที่คนอื่นไม่ต้องการ
  • เริ่มรู้สึกผิดเมื่อไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ให้เป็นไปตามที่คาดหวังได้

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Fe หมด → Ti ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. วิจารณ์คนอื่นและตัวเองรุนแรงเกินเหตุ
– มองโลกในแง่ร้าย วิจารณ์คนอื่นแบบเหมารวม เช่น “ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย”
– แสดงพฤติกรรมรุนแรง เช่น ขว้างของ ตะโกน พูดแรงกว่าปกติ
– เมื่อล้าจากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว มักหันกลับมาวิจารณ์ตัวเอง ทำให้รู้สึกไร้ค่า หดหู่ หมดไฟ และมักปลีกตัว

2. มีตรรกะที่บิดเบี้ยว
– พยายามวิเคราะห์ปัญหาแบบมี “เหตุผล” แต่เหตุผลกลับขาดความแม่นยำและสุดโต่ง
– ติดอยู่กับความคิดแบบ “ขาวดำ” ด่วนตัดสินโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน
– ยึดติดอยู่กับวิธีคิดหรือการตีความเดียว จมอยู่กับความคิดตัวเอง ไม่เปิดใจให้ใคร
– คิดวนเพื่อพยายามหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้กับว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บหรือโกรธ

3. หมกมุ่นกับ “ความจริงที่แท้จริง”
– ค้นหาคำตอบอย่างหมกมุ่น อยากรู้ “ความจริงที่แน่นอน” เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองกังวล
– พยายามหาคนหรือข้อมูลมายืนยันความรู้สึกของตัวเอง
– หากไม่ได้คำตอบ จะคิดวนไปวนมาในหัวซ้ำๆ และเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
– พยายามหาแนวร่วม เพื่อให้แน่ใจว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้”

ESTP/ ESFP (Extraverted Sensing)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย

  • ใช้ความคล่องแคล่ว ความมั่นใจ ความร่าเริง และการตัดสินใจที่รวดเร็ว
  • มีทัศนคติของคนที่พร้อมแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ชอบความท้าทาย และพร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
  • อยู่กับปัจจุบัน นำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและรอบตัวมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Se ออกมาแบบเกินจริง)

  • ตามล่า “ประสบการณ์” อย่างไม่หยุดพัก เช่น ออกไปเที่ยว ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง มองหาความบันเทิงทุกรูปแบบ
  • ไม่สามารถหยุดคิดเฉยๆ ได้ ไม่มีสมาธิ เปลี่ยนกิจกรรมที่ทำบ่อยกว่าปกติ
  • รู้สึกสับสนหรือกระวนกระวายใจ ไม่มีจุดยึด ไม่สามารถกลั่นกรองข้อมูลได้ ขี้หงุดหงิด

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Se หมด → Ni ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. รู้สึกสับสนในตัวเอง
– มีความรู้สึกและกระบวนการคิดที่ไม่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมา ทำให้รู้สึกสับสน
– มีจินตนาการเชิงลบแบบสุดโต่ง เช่น กลัวว่าจะเจ็บป่วยตาย สูญเสียคนรัก ถูกทอดทิ้ง หรือเกิดภัยพิบัติ
– จมกับความกลัวโดยไม่มีมูลเหตุที่ชัดเจน เช่น “ฉันอาจเสียสติ” หรือ “คนที่รักอาจไม่กลับมาอีกเลย”
– ปลีกตัวออกจากโลกภายนอก และไม่มีความกระตือรือร้น

2. ตีความสิ่งรอบตัวผิด
– แปลคำพูดหรือเจตนาคนอื่นในเชิงลบ เช่น คิดไปเองว่าการที่เขาขอให้ทำอะไรซักอย่างให้แปลว่าเขาผิดหวังในตัวเรา
– เกิดความระแวงสูง เช่น คิดว่าคนใกล้ตัวไม่รัก ไม่เห็นค่า หรือมีเจตนาไม่ดี

3. หมกมุ่นกับวิสัยทัศน์ที่ใหญ่โตเกินจริง
– อาจตีความเหตุการณ์เล็ก ๆ ว่ามีความหมายลึกซึ้งแบบเหนือธรรมชาติ
– สนใจเรื่องลี้ลับ พลังงานที่มองไม่เห็น หรือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งมากผิดปกติ
– อาจหมกมุ่นกับเรื่อง “เป้าหมายชีวิต” แบบไม่สมเหตุสมผล และดูหลุดจากความเป็นจริง

ENTP/ ENFP (Extraverted iNtuition)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย

  • นำเสนอทางเลือกและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว
  • ใช้ความกระตือรือร้น การเชื่อมโยงไอเดียและคิดนอกกรอบ การมองภาพใหญ่ การเปิดรับความคิดใหม่
  • ใช้พลังในการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจ ชวนคิด ชวนเปลี่ยนแปลง ตั้งคำถาม

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Ne ออกมาแบบเกินจริง)

  • พูดสิ่งที่คิดออกมาแบบไม่ผ่านการกลั่นกรอง คิดฟุ้ง ควบคุมความคิดไม่ได้
  • มีไอเดียเยอะมาก แต่ไม่เชื่อมโยงกัน ไม่มีระบบ ไม่มีความชัดเจน วอกแวก เปลี่ยนเรื่องบ่อย
  • เสียความสามารถในการ “เลือกแนวทาง” เพราะมองเห็นทางเลือกมากเกินไป

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Ne หมด → Si ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. ถอนตัวและซึมเศร้า
– รู้สึกโดดเดี่ยว มืดมน รู้สึกเหมือนไม่มีใครรัก
– มองโลกในแง่ร้าย จมอยู่กับความรู้สึกไม่มั่นคงไม่สามารถรู้สึกสนุกไปกับสิ่งที่เคยชอบได้อีกต่อไป
– สูญเสียแรงจูงใจ ไม่มีแรง ทำให้ละเลยตัวเอง หรือถึงขั้นเจ็บป่วย

2. หมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่าง
– ติดอยู่กับรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ไม่มีความหมาย คิดซ้ำกับเรื่องเดิมๆ มองโลกแคบลง
– หงุดหงิดกับความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นคนจุกจิกขึ้นผิดปกติ
– ขาดความยืดหยุ่น กลายเป็นคน “เรื่องเยอะ” โดยไม่รู้ตัว

3. โฟกัสที่ร่างกายมากเกินไป (Focus on the Body)
– วิตกกังวลเกินเหตุเกี่ยวกับ “อาการทางร่างกาย” เช่น กลัวว่าตัวเองจะป่วยร้ายแรง ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐาน หรือ ตีความอาการเล็ก ๆ ว่าเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง
– มีพฤติกรรมตรวจสุขภาพซ้ำ ๆ เช่น วัดความดันหลายครั้งต่อวัน หรือบังคับให้คนใกล้ตัวไปหาหมอ

 

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือโทร 02 258 6930-35