เมื่อความเครียดผลักเราให้ “ไม่เป็นตัวเอง” เข้าใจสภาวะ Grip เพื่อการดูแลใจให้กลับมาแข็งแรง (Part 2)

ในบทความที่แล้ว เมื่อความเครียดผลักเราให้ “ไม่เป็นตัวเอง” เข้าใจสภาวะ Grip เพื่อการดูแลใจให้กลับมาแข็งแรง (Part 1) เราได้ทำความรู้จักกับพฤติกรรมของคนประเภท Extravert เมื่อตกอยู่ในภาวะความเครียดระดับต่างๆไปแล้วและในบทความนี้ เรามาต่อกันที่การทำความรู้จักกับ “ด้านที่ซ่อนอยู่” ของคนประเภท Introvert ภายใต้ความเครียดระดับต่างๆ กันนะคะ

พฤติกรรมของคนประเภท Introvert เมื่อตกอยู่ในภาวะความเครียดระดับต่างๆ 

ISTP/ INTP (Introverted Thinking)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย

  • วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เชิงลึกอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ และชัดเจน
  • คำนึงถึงความจริง ความแม่นยำ และความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • ใช้การควบคุมอารมณ์และรักษาความเป็นกลางในการตัดสินใจ

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Ti ออกมาแบบเกินจริง)

  • จับผิด เย็นชา รู้สึกไม่พอใจในคำตอบใดๆ เลย และละเลยอารมณ์ของคนรอบข้าง
  • ไม่เปิดรับมุมมองอื่น เชื่อมั่นในเหตุผลของตัวเอง ไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกัน
  • คิดช้า ลังเล วอกแวกหรือเสียสมาธิ บางครั้ง คิดวนซ้ำๆ อยู่เรื่องเดิม
  • จู้จี้กับรายละเอียดเล็กๆ เพื่อหาความแน่นอนหรือความแม่นยำที่ไม่เป็นประโยชน์

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Ti หมด Fe ด้านลบเข้ามาครอบงำ)1.
1.ย้ำคิดเรื่องตรรกะมากเกินไป
– พยายามใช้เหตุผลเพื่อ “พิสูจน์” ทุกอย่าง แม้กับเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่จำเป็น
– ย้ำคิดวนกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ แม้รู้ว่าไม่มีทางออก
– ลืมของ ผิดนัด หรือจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่เป็นระเบียบ

2. อ่อนไหวกับความสัมพันธ์มากเกินความเป็นจริง
-ตีความคำพูดและท่าทางคนอื่นในเชิงลบ เช่น เพื่อนไม่ทักทายหรือไม่ได้ย้ำให้เช้านี้ จึงคิดไปเองว่าโดนเกลียดหรือถูกปฏิเสธ
-รู้สึกแย่กับการไม่ได้รับการยอมรับหรือไม่ได้รับคำชื่นชม ทั้งที่ปกติไม่ได้ใส่ใจ

3. มีอารมณ์รุนแรงผิดปกติ
– กลายเป็นคน “ดราม่า” โดยไม่รู้ตัว เช่น ฟูมฟาย วิตก โทษตัวเองหรือคนอื่นว่าไม่เห็นค่า ไม่รัก ไม่สนใจ
– รู้สึกว่ามีอารมณ์ท่วมท้น ควบคุมไม่ได้
– รู้สึกว่าอารมณ์ของคนอื่น “รุนแรงเกินจะรับไหว” และส่งผลกระทบให้รู้สึกแย่ตามไปด้วย

ISFP/ INFP (Introverted Feeling)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย:

  • ใช้ความมั่นคงภายใน การยึดมั่นในคุณค่าและหลักการของตนเอง
  • ใช้ความยืดหยุ่น อดทน ความเห็นอกเห็นใจ และใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างอย่างลึกซึ้ง

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Fi ออกมาแบบเกินจริง)  

  • คิดไปเองว่าถูกดูแคลนหรือไม่เห็นค่า ขี้น้อยใจ กลายเป็นคน “แตะนิดแตะหน่อยก็กระเทือน”
  • ยึดติดกับอารมณ์ ความเชื่อ หรือบาดแผลภายในโดยไม่เปิดรับข้อมูลข้อเท็จจริงจากภายนอก
  • คนรอบตัวเริ่มรู้สึกว่าเข้าหาได้ยากขึ้น เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำให้รู้สึกแย่โดยไม่ตั้งใจหรือไม่

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”

(พลังของ Fi หมด → Te ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. ตัดสินตัวเองและคนอื่นว่า “ไม่ดีพอ” โดยไม่มีมูล
– รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วเผลอไปจับผิดหรือมองว่าคนอื่นก็ไม่เก่งเหมือนกัน
– หมกมุ่นกับความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อยๆ ของตัวเองและคนอื่น
– รู้สึกหมดศรัทธาในตัวเอง เช่น “แม้แต่งานง่ายๆ ก็ทำไม่ได้”

2. วิจารณ์อย่างรุนแรง
– พูดประชด เสียดสี แข็งกร้าว หรือ ทำตัวเป็นนักกฎหมาย
– วิจารณ์ผู้อื่นแบบเกินจริง หรือเหมารวม
– กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้ระแวง ดื้อ และจุกจิก
– วิจารณ์ตัวเองรุนแรง เช่น “ฉันไม่มีค่าเลย” “ฉันไม่สมควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น”

3. ลงมือทำโดยไม่คิด
– มีแรงผลักดันรุนแรงให้ “ต้องทำอะไรสักอย่าง” เพื่อควบคุมหรือแก้ไขสิ่งที่คิดว่าทำพลาด
– ลงมือจัดการ จัดระเบียบ หรือควบคุมคนอื่น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ธรรมชาติของตนเอง เช่น บอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร อย่างไร
– ขาดความยืดหยุ่นหรือมองไม่เห็นภาพรวม ลงมือทำในสิ่งที่อาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา

ISTJ/ ISFJ (Introverted Sensing)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย:

  • ใช้ความมีระเบียบ การใส่ใจรายละเอียด ความรอบคอบ และการรับผิดชอบต่อหน้าที่
  • คิดและตัดสินใจจากประสบการณ์จริง ใช้สิ่งที่เคยทำแล้วได้ผล มีความมั่นคงและสม่ำเสมอ
  • มองโลกและประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Si ออกมาแบบเกินจริง)

  • จมอยู่กับข้อมูลหรือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรสำคัญ ตัดสินใจไม่ได้
  • ติดอยู่กับ “อดีตแย่ๆ” แล้วจินตนาการภาพอดีตซ้ำๆ จนวิตกกังวลมากกว่าเดิม
  • ยึดติดกับรายละเอียดหรือขั้นตอนมากเกินไป จนมองภาพรวมไม่ออก และปรับตัวตามสถานการณ์ไม่ได้
  • แยกไม่ออกว่าอะไรคือข้อมูลจริง อะไรเป็นเพียงความคิดในหัว ทำให้สับสนและสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Si หมด → Ne ด้านลบเข้ามาครอบงำ)
1. สับสนกับข้อเท็จจริง/ รายละเอียดที่เคยมั่นใจว่าใช่หรือเวิร์ค
– ไม่เชื่อมั่นในข้อมูลหรือประสบการณ์ของตัวเอง
– สูญเสียความสามารถในการจำแนกว่าอะไรจริงไม่จริง อะไรสำคัญไม่สำคัญ
– รู้สึกสับสนงุนงง เกิดความวุ่นวายในหัว เหมือนระบบจัดระเบียบภายในสมองพังลง ไม่สามารถใช้ข้อมูลที่มีได้เป็นปกติ

2. หุนหันพลันแล่น
– ลงมือทำหรือตัดสินใจเร็วเกินไปหรือไม่ได้คิดให้ดีก่อน เช่น ลางานกลางวันไปดูหนัง หรือซื้อของแพงโดยไม่หาข้อมูล
– ทำอะไรที่ขัดกับความเป็นตัวเอง แล้วกลับมารู้สึกผิดภายหลังและตัดสินตัวเองว่าประมาท
– กลายเป็นคนขาดสมาธิ วิตกกังวล หรือรู้สึกสับสน

3. จินตนาการเกี่ยวกับอนาคตในแง่ลบสุดโต่ง
– รู้สึกว่าทุกอย่าง “ไม่ปลอดภัย” แม้จะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยหรือเคยทำมาแล้ว
– มองอนาคตในแง่ร้าย คิดว่าเรื่องแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น
– มองสิ่งที่ไม่เคยทำว่าจะนำมาซึ่งความล้มเหลวหรืออันตรายถึงชีวิต ไม่อดทนกับความไม่คุ้นเคย
– กลัวการเปลี่ยนแปลงหรือสิ่งใหม่ ๆ แบบไม่มีเหตุผล

INTJ/ INFJ (Introverted iNtuition)
การจัดการกับความเครียดระดับปกติหรือเล็กน้อย:

  • พัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ คาดการณ์อนาคตจากข้อมูลที่มี วางวิสัยทัศน์
  • เก็บข้อมูลในระดับที่มากกว่าข้อเท็จจริง (เชิงความหมาย)
  • มองภาพรวมอย่างลึกซึ้ง และเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ

พฤติกรรมภายใต้ความเครียดระดับกลาง
(แสดงพฤติกรรมความเป็น Ni ออกมาแบบเกินจริง)

  • มองโลกแคบลง เห็นทางออกเพียงทางเดียว เก็บตัว
  • คิดเยอะ คิดไปไกล หรือลึกเกินเหตุ จนแยกไม่ออกว่า อะไรเป็นเรื่องจริง อะไรเป็นแค่สิ่งที่ตัวเองคิด
  • สูญเสียความแม่นยำในการวิเคราะห์ เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ อย่างผิดพลาด

เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องจนตกอยู่ในสภาวะ “Grip”
(พลังของ Ni หมด → Se ด้านลบเข้ามาครอบงำ)

1. หมกมุ่นกับข้อมูลภายนอก
– สนใจรายละเอียดปลีกย่อยหรือข้อมูลรอบตัวเกินความจำเป็น
– วิตกจริตกับข้อมูลที่ปกติไม่เคยให้ความสำคัญ เช่น การล็อกประตู การตรวจยอดเงินซ้ำ ๆ
– พยายามจัดการโลกภายนอกเพื่อควบคุมความวุ่นวายภายใน เช่น จัดบ้านและทำความสะอาดให้เนี้ยบเป๊ะ

2. ปล่อยตัวไปกับความสุขทางร่างกายมากเกินไป
– หนีจากความรู้สึกแย่ข้างในด้วยการเสพความสุขเกินพอดี เช่น กินเยอะเกินไป ซื้อของไร้สาระ ดูซีรีส์ข้ามคืน แล้วเสียใจภายหลัง
– ใช้ร่างกายเกินขอบเขตหรือทำร้ายตัวเอง

3. ตั้งแง่กับโลกภายนอก
– มองโลกภายนอกเป็นพื้นที่อันตราย เต็มไปด้วยปัญหา และไม่ปลอดภัย
– คิดว่าทุกอย่างเข้ามาขัดขวางหรือตั้งใจทำร้ายเรา ทำให้โกรธและระเบิดอารมณ์ออกมาได้ง่าย
– โทษคนอื่นว่าไม่ช่วยและไม่เข้าใจ กลายเป็นคนดื้อดึงและพูดตรงโดยไม่สนใจความรู้สึกใคร

สภาวะ Grip เป็นสภาวะทางธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาในช่วงเวลาเหล่านี้จะทำให้เราดูแปลกไป ดูสุดโต่ง ดูไม่มีเหตุผล และมักจะทำให้เรารู้สึกแย่ในภายหลัง ในมุมมองทางจิตวิทยาของ Carl Jung และเครื่องมือ MBTI® สภาวะนี้เป็นกลไกปกติของมนุษย์และจำเป็นต้องมีเพื่อช่วยรักษาสมดุลของจิต ในแง่ดี สิ่งนี้ช่วยให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับด้านใหม่ๆ ในตนเอง สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดที่ซ่อนอยู่หรือมักจะถูกละเลย และส่งเสริมให้เราหันมาทำความเข้าใจกับความต้องการของตัวเอง รู้จักเรียนรู้และฝึกฝนพฤติกรรมใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเรา ทำให้เราสามารถดูแลใจให้กลับมาแข็งแรงมากขึ้นได้ดีกว่าเดิม

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือโทร 02 258 6930-35