ดูแลสุขภาพใจในที่ทำงานอย่างไรให้สอดคล้องกับธรรมชาติความเป็น Perceiving / Judging

ความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ และ การรู้สึกมีอิสระ เป็นอีกสองปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเครียดและสุขภาพใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว การที่เราสามารถบริหารจัดการสภาพแวดล้อมรอบตัวเราและใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องไปกับมุมมองที่เรามองโลกโดยธรรมชาติจะช่วยให้เราดูแลตัวเองได้ดีขึ้น

ในบทความที่แล้ว  ดูแลสุขภาพใจในที่ทำงานอย่างไร (Part 3)… สอดคล้องกับธรรมชาติความเป็น Thinking / Feeling เราได้สำรวจการตัดสินใจของคนทั้งสองประเภท ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าเราใช้เกณฑ์ใด ต้องการสิ่งใด และโฟกัสไปที่อะไรเมื่อต้องตัดสินใจ รวมไปถึงตัวกระตุ้นความเครียด พฤติกรรมภายใต้ความเครียด และเทคนิคในการดูแลใจของตัวเองในบริบทของความเป็น Thinking และ Feeling

วันนี้ เราจะมาชวนเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพใจเพิ่มเติมผ่านการทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของการมีไฟหรือหมดไฟในหมวดของการมองโลกและปรับตัวเข้าหาโลก (Judging – Perceiving) ซึ่งจะช่วยให้เราเล็งเห็นว่าเราชอบไลฟ์สไตล์แบบไหนโดยธรรมชาติ ระหว่าง

  • Judging คนที่ชอบปรับตัวโดยใช้แบบแผน และ
  • Perceiving คนที่ชอบปรับตัวโดยใช้ความยืดหยุ่น


Judging คนที่ชอบปรับตัวโดยใช้แบบแผน

สรุปลักษณะนิสัย:

Judging เป็นกลุ่มคนที่ต้องการโครงสร้างในการจัดการกับโลกภายนอก ให้ความสำคัญกับระเบียบ แบบแผน ตารางเวลา การบรรลุเป้าหมาย ผลสำเร็จ การตัดสินใจ และ ความปลอดภัย มักรู้สึกสบายใจเมื่อได้มีการวางแผนและต้องการทำตามแผนที่วางไว้ มักดูจริงจังและถนัดการจัดการ

ตัวกระตุ้นความเครียดที่ให้ใจห่อเหี่ยวในที่ทำงาน:

  • การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน: คนประเภท Judging มักรู้สึกเครียดได้ง่ายหากต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นการปรับตัวที่ขัดต่อกระบวนการตัดสินใจก่อนหน้าของตัวเอง ในหลายๆ ครั้ง สิ่งนี้ทำให้รู้สึกว่าทุ่มเทไปอย่างสูญเปล่า เนื่องจากได้ลงมือทำตามแผนไปแล้ว บางครั้ง ล่วงหน้ากว่ากำหนดการเสียด้วยซ้ำ
  • การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีโครงสร้าง: คนประเภท Judging ต้องการขอบเขตและกรอบการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าควรทำสิ่งใดก่อน-หลัง มากน้อยขนาดไหน หรือควรโฟกัสที่อะไร สภาพแวดล้อมที่วุ่นวายหรือไม่มีระเบียบอาจทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนและเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่บ่อยๆ ซึ่งกระตุ้นความเครียด นอกจากนี้ แทนที่จะได้โฟกัสไปที่เนื้องานและพุ่งเป้าอย่างที่ต้องการ พวกเขาอาจต้องเสียพลังงานไปกับการพยายามจัดระบบเองระหว่างทาง ซึ่งเป็นการลดประสิทธิภาพการทำงานและชะลอความสำเร็จ
  • ความไม่แน่นอนและการไม่ตัดสินใจ: คนประเภท Judging ต้องการความชัดเจนและการตัดสินใจที่แน่นอน เพราะไม่ต้องการตกอยู่ในสภาวะของการรอคอยอย่างไม่สิ้นสุดและไม่สามารถลงมือทำอะไรได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งไม่สามารถวางแผน คาดการณ์อนาคต และเดินหน้าสู่เป้าหมายได้ การไม่มีข้อสรุปและความชัดเจนยังทำให้รู้สึกเหมือนสูญเสียการควบคุม ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบเซอร์ไพรส์และให้ความสำคัญกับความมั่นคงปลอดภัยโดยธรรมชาติ การควบคุมสิ่งต่างๆ ไม่ได้และต้องรอลุ้นว่าจะเจออะไรบ้างมักทำให้รู้สึกกังวลและเครียด
  • คนที่ไม่รักษาเวลาและกำหนดการ: คนประเภท Judging ให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลาเป็นอย่างมากเพราะการไม่รักษาเวลาส่งผลกระทบต่อแผนที่วางไว้และผลักให้เขาต้องคอยปรับเปลี่ยนสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาชอบหรือถนัดโดยธรรมชาติ การที่คนอื่นไม่รักษากำหนดการเป็นการแสดงให้เห็นว่าความพยายามในการจัดระเบียบโลกรอบตัวของเขาไม่มีความหมาย ทำให้รู้สึกว่าควบคุมชีวิตของตัวเองไม่ได้และไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้งอาจทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกละเลย ไม่ให้ความสำคัญหรือความเคารพได้ด้วย
  • การรู้สึกว่าทำงานไม่เสร็จหรือปิดงานไม่ได้: คนประเภท Judging ต้องการเห็นงานเสร็จเป็นชิ้นเป็นอัน และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หากงานยังไม่เสร็จ พวกเขามักรู้สึกค้างคาและกังวลใจ เพราะไม่สามารถวางแผนหรือเคลียร์งาน/กิจกรรมอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ การมองหาข้อยุติตามธรรมชาติของพวกเขายังส่งผลให้เป็นคนที่ชอบเช็กลิสต์และให้ความสำคัญกับปลายทาง เมื่อไม่มีโอกาสได้ปิดจบงานหรือเห็นจุดสิ้นสุด ก็มักทำให้รู้สึกกดดันจากการรู้สึกว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

พฤติกรรมภายใต้ความเครียด:

  • พยายามควบคุมทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิม ตั้งกฎระเบียบที่เข้มงวดและยึดติดกับแผนจนเกินไป
  • ตัดสินคนอื่นและวิจารณ์มากขึ้น มองหาจุดบกพร่องมากกว่าปกติและรู้สึกว่าคนอื่นๆ ทำไม่ถูกใจ
  • กดดันตัวเองหนักขึ้น ทำงานโดยไม่พักผ่อน รู้สึกว่าต้องเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่าง
  • หงุดหงิดง่ายขึ้นและดูลน มีความรู้สึกเข้มข้นขึ้นและระเบิดอารมณ์ได้ง่าย

คำแนะนำเพื่อการดูแลตัวเอง:

  • ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ: โดยธรรมชาติ คนประเภท Judging มักพยายามควบคุมสิ่งต่างๆ ให้ได้ 100% และมองหาความสมบูรณ์แบบของแผนการ การยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครๆ ก็ต้องเผชิญสามารถช่วยเรื่องการลดความคาดหวังและการกดดันในผลงานของตัวเองลง ซึ่งในท้ายที่สุดจะช่วยดูแลเรื่องความเครียดที่ไม่จำเป็นได้เป็นอย่างดี
  • ฝึกปฏิเสธและขอความช่วยเหลือ: หลายครั้ง การต้องการควบคุมทุกอย่างรอบตัวนำไปสู่การไม่ไว้วางใจในความสามารถของคนอื่น เนื่องจากกังวลว่าคนอื่นอาจทำให้แผนพังหรือทำออกมาได้ไม่ครบถ้วนและรอบคอบได้เท่าที่ตัวเองทำ การฝึกปฏิเสธไม่รับงานเกินกำลังของตัวเองโดยวางใจว่าทุกคนสามารถจัดการชีวิตของตัวเองได้และเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเองหรือทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟคสามารถช่วยลดความกดดันและความเครียดจากจำนวนงานที่มีมากเกินไป การขอความช่วยเหลือหรือกระจายงานให้คนในทีมทำก็เช่นกัน นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลตัวเองแล้ว ในระยะยาวยังเป็นการช่วยพัฒนาคนในทีมให้มีความรับผิดชอบและมีความสามารถมากขึ้นจากการได้ช่วยเหลืองานของทีมด้วย
  • ตั้งขอบเขตในการทำงาน: คนประเภท Judging ที่มีแนวโน้มจะหมกมุ่นอยู่กับการทำงานแม้เป็นเวลาพักผ่อน โลกของการทำงานเป็นโลกที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งสนับสนุนความต้องการผลสำเร็จและข้อยุติของตัวเองได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การทำงานโดยไม่พักผ่อนเป็นผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจ และส่งผลต่อความรู้สึกของคนรอบตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัว การตั้งขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน เช่น จะหยุดเช็กอีเมล์เมื่อไหร่ จะทำงานกี่ชั่วโมงต่อวัน หรือจะแบ่งเวลาให้กับกิจกรรมอื่นๆ ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอย่างไรบ้าง จะช่วยให้สามารถดูแลเรื่อง work-life balance ของตัวเองได้ดีขึ้น
  • คำนึงถึงสิ่งที่สำคัญจริงๆ: เมื่อโฟกัสไปที่เป้าหมายที่อยากไปให้ถึง ในหลายๆ ครั้ง เราก็ลืมคนและเรื่องสำคัญ รวมถึงหลายๆ สิ่งที่มีค่าต่อจิตใจของเราไป การมองเห็นว่าสิ่งใดสำคัญอย่างแท้จริงสามารถช่วยเราควบคุมความเครียดและปล่อยวางกับเรื่องจุกจิกได้ง่ายขึ้น ลองถามตัวเองง่ายๆ ว่าความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่จำเป็นหรือไม่ ในระยะยาวสิ่งนี้ที่กำลังทุ่มเทสุดกำลังมีความหมายมากน้อยขนาดไหน และจริงๆ แล้ว เราต้องการแบ่งปันความสำเร็จนี้กับใครบ้าง
  • ฝึกอยู่กับปัจจุบันและผ่อนคลาย: การวางแผนเป็นการคำนึงถึงอนาคต การทำตามแผนคือการทำให้ภาพอนาคตกลายเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม แม้สิ่งนี้จะพาเราไปสู่ความสำเร็จและอนาคตที่ต้องการ คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันนำมาซึ่งความกังวลและความเครียดเช่นกัน โดยเฉพาะการกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและความเครียดเมื่อมันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การหมกมุ่นอยู่กับภาพอนาคตทำให้เราละเลยความสนุกและความสุขในปัจจุบันขณะไป ฝึกผ่อนคลายและซึมซับความสุขเล็กๆ น้อยๆ รายทาง แบ่งเวลาให้เหมาะสม เพื่อเป็นการดูแลทั้งปัจจุบันและอนาคตของเราไปพร้อมๆ กัน

 

Perceiving คนที่ชอบปรับตัวโดยใช้ความยืดหยุ่น

สรุปลักษณะนิสัย:

Perceiving เป็นกลุ่มคนที่ต้องการทางเลือกในการจัดการกับโลกภายนอก ให้ความสำคัญกับการปรับตัว ประสบการณ์ระหว่างทาง การระดมสมองหาตัวเลือกอื่นที่อาจจะดีกว่า ความสดใหม่หลากหลายในชีวิต ความตื่นเต้น และอิสระในการทำสิ่งต่างๆ ตามกรอบเวลาของตัวเอง มักดูสบายๆ ไม่รีบตัดสินใจหรือหาข้อสรุป และถนัดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า

ตัวกระตุ้นความเครียดที่ให้ใจห่อเหี่ยวในที่ทำงาน:

  • กฎระเบียบและข้อจำกัดที่เข้มงวด: คนประเภท Perceiving มักมีแนวทางในการทำสิ่งต่างๆ ตามสไตล์ของตัวเองและให้คุณค่ากับความหลากหลายและความผ่อนคลาย การต้องทำตามกฎเป๊ะๆ หรือมีข้อจำกัดบอกว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มีอิสระและถูกควบคุม รวมทั้งไม่ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และความสนุกในการได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ส่งผลให้รู้สึกเบื่อและเครียดกับการต้องพยายามอยู่ในกรอบหรือทำตัวให้เหมือนคนอื่นๆ
  • การถูกบีบให้รีบตัดสินใจ: คนประเภท Perceiving ชอบตัวเลือกที่หลากหลายและเปิดกว้างรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ การถูกบังคับให้รีบตัดสินใจทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้พิจารณาข้อมูลหรือตัวเลือกอื่นที่มากพอ ซึ่งอาจทำให้พลาดตัวเลือกที่ดีกว่าหรือดีที่สุดไป นอกจากนี้ ยังทำให้รู้สึกว่าถูกบังคับให้ไม่มีทางเลือกด้วย เนื่องจากต้องเลือกในสิ่งที่มี ณ ตอนนี้ ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง และการรู้สึกว่าอาจต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเลือกพลาดนี้ไปอีกนานทำให้รู้สึกเครียดได้
  • การไม่สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้: การต้องทำตามแผนที่ล็อกตายตัวทำให้คนประเภท Perceiving รู้สึกอึดอัดและมองว่าสิ่งที่กำลังทำไม่ make sense และไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดสำหรับปัจจุบัน การปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์นอกจากจะให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา ยังให้ความรู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการเมื่อเจอทางเลือกใหม่ด้วย เพราะสามารถเลือกได้ว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างแท้จริง และไม่ได้ถูกขังอยู่ในทางเลือกเดียว ซึ่งเป็นทางเลือกเดิมที่ไม่เวิร์คแล้ว
  • คนที่ตึงเครียด จู้จี้ และจริงจังมากเกินไป: คนประเภท Perceiving ชอบความยืดหยุ่น ความสนุกสนานและความผ่อนคลายช่วยดึงความคิดสร้างสรรค์ออกมาและทำให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ คนที่คอยจู้จี้ทุกขั้นตอน ไม่ผ่อนปรน และมีแบบแผนมากเกินไปมักทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความไว้ใจให้ทำงานในแบบที่ตัวเองต้องการ ไม่ได้เป็นตัวเอง และบางครั้ง รู้สึกเหมือนถูกกดดันหรือถูกจับผิดอยู่ ตลอดเวลา ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยและเครียดได้
  • การต้องทำสิ่งเดิมซ้ำๆ และขาดความท้าทาย: ความแปลกใหม่และหลากหลาย รวมไปถึงสิ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นสิ่งที่คนประเภท Perceiving ชอบโดยธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้อะดรีนาลีนในร่างกายของพวกเขาทำงาน เป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้น และช่วยเติมไฟให้ชีวิตมีแรงบันดาลใจ กิจวัตรที่จำเจมักทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกเบื่อง่าย โดยเฉพาะกิจวัตรที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับ passion ในท้ายที่สุด ความรู้สึกเบื่อมักนำไปสู่การมองไม่เห็นความหมายของสิ่งที่ทำ การสงสัยในคุณค่าของชีวิตและขาดความภูมิใจหรือความสนุกในการทำงานทำให้พวกเขารู้สึกหมดไฟและเครียด สวยส

พฤติกรรมภายใต้ความเครียด:

  • ผัดวันประกันพรุ่งมากกว่าเดิม รู้สึกสมองไม่แล่น รู้ว่าควรทำแต่ทำไม่ได้
  • วอกแวก ไม่มีสมาธิ ถูกดึงดูดด้วยเรื่องที่ผ่อนคลายหรือน่าตื่นเต้นมากกว่าปกติ
  • ตัดสินใจไม่ได้ รู้สึกกังวลว่าจะเลือกพลาดมากเกินไป รู้สึกปั่นป่วน หงุดหงิดง่าย ต้องการควบคุมชีวิตของตัวเองทั้งหมด
  • รู้สึกกดดัน หลีกเลี่ยงการเจอหน้าหรือหายตัวไปชั่วคราว

คำแนะนำเพื่อการดูแลตัวเอง:

  • หาแรงบันดาลใจให้เจอ: สำหรับคนประเภท Perceiving ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์รายทาง การหาแรงบันดาลใจในสิ่งที่ทำเจอและรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นพิเศษจะช่วยให้มีแรงลงมือทำโดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือเบื่อไปเสียก่อน นอกจากนี้ แรงบันดาลใจยังสามารถช่วยให้รู้สึกว่าทุกอย่างที่เรากำลังทำเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง เรากำลังเล่นตามเกมของเรา ไม่ได้มีใครมาบังคับหรือสร้างข้อจำกัดให้เรา ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดและส่งเสริมการทำงานที่มีความสุข
  • อนุญาตให้ตัวเองพักโดยไม่รู้สึกผิด: การพักเพื่อรีเซ็ตสมองเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนประเภท Perceiving เพราะความรู้สึกสดใหม่ช่วยกระตุ้นการทำงานของอะดรีนาลีนในร่างกาย ช่วยลดความเครียด ความวอกแวก และการรู้สึกหมดไฟ แม้ว่าวัฒนธรรมการทำงานมักสนับสนุนให้คนทำงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่พัก บอกตัวเองว่าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เราพักในขณะที่คนอื่นกำลังทำงาน เพราะงานของเราในส่วนที่ตั้งใจไว้ก่อนพักเสร็จแล้ว หรือสมองของเราล้าแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราไม่ตั้งใจทำงาน แต่การพัก เป็นการช่วยทำให้ประสิทธิภาพงานของเราดีขึ้นต่างหาก
  • ฝึกตัดสินใจในเวลาที่กำหนด: แม้ว่าการพิจารณาตัวเลือกทั้งหมดจนกว่าจะได้สิ่งที่ดีที่สุดจะฟังดูดีมากๆ แต่การตัดสินใจภายใต้ระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าได้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ฝึกตัดสินใจตามกำหนดเวลากับเรื่องเล็กๆ ในชีวิตให้บ่อยขึ้น เช่น ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะทำเมนูอะไรบ้างภายใน 4 โมงเย็นวันนี้ หรือ จะเดินไปอัพเดตน้องซัพพอร์ตเรื่องสถานที่จัดงานภายใน 30 นาที จะช่วยให้เราไม่ติดอยู่ในกับดักของความลังเล และลดภาระงานที่ค้างคา แรงกดดันของเดดไลน์จะช่วยให้สมองเราทำงานเร็วขึ้น และเมื่อทำได้สำเร็จ จะช่วยให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ความภูมิใจในความสำเร็จของตัวเองสามารถช่วยลดความเครียดได้
  • แค่เริ่มลงมือทำและทำอย่างต่อเนื่อง: คนประเภท Perceiving หลายคนเป็นเจ้าโปรเจกต์ มีไอเดียแปลกใหม่และสิ่งที่อยากทำมากมายเต็มไปหมด แต่อาจทำได้ไม่สำเร็จเพราะไม่ได้ลงมือทำ หรือไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องจนเห็นผลลัพธ์ สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจและการเห็นคุณค่าในตัวเอง และแม้ว่าการลงมือทำทันทีและทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรจะไม่ใช่สิ่งที่ชอบหรือถนัดโดยธรรมชาติ การมีโครงสร้างบ้างในชีวิตและสามารถใช้มันได้อย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเครียดในระยะยาวได้ และช่วยให้เราประเมินตัวเองได้ดีขึ้นว่าเรามีกำลังมากน้อยขนาดไหนโดยไม่กดดันตัวเองมากเกินไป
  • ทบทวนเป้าหมายระยะยาว: บางครั้งเราอาจจะสนุกอยู่กับประสบการณ์รายทางและสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากเกินไปจนลืมเป้าหมายระยะยาว ทบทวนความสำคัญของสิ่งที่เราต้องการอีกครั้ง ตรวจสอบว่ากิจกรรมที่กำลังทำอยู่กำลังพาเราไปสู่เป้าหมายหรือไม่ สิ่งนี้จะช่วยลดปัญหาความเครียดจากการผัดวันประกันพรุ่ง ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และรู้ว่าต้องโฟกัสกับอะไร

การเข้าใจสไตล์การปรับตัวตามธรรมชาติและมุมมองที่เรามองโลกจากการศึกษาเครื่องมือ MBTI® สามารถช่วยให้เราออกแบบชีวิตได้สอดคล้องกับสิ่งที่เราเป็นและต้องการอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และยังช่วยให้เรารู้ว่าจุดสมดุลระหว่างการควบคุมและการมีอิสระของเราอยู่ที่ตรงไหน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการดูแลสุขภาพกายใจของเราเอง ทั้งในบริบทของการทำงานและการใช้ชีวิต และสามารถช่วยให้เราจัดการกับความเครียดที่ไม่จำเป็นได้เป็นอย่างดี

 

 

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือโทร 02 258 6930-35